รูปทรงต่าง ๆ ของแปรงทาสีแต่ละแบบ มีคุณสมบัติเด่นแบบไหน และเหมาะกับงานประเภทไหนบ้าง

Facebook
Twitter
Email

แปรงทาสีเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้สีติดพื้นผิวได้สวย เรียบ และรวดเร็ว แปรงทาสีมีหลายรูปทรง ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การเลือกแปรงให้เหมาะกับงาน จะช่วยให้งานออกมาดี ใช้สีได้อย่างคุ้มค่า และไม่เสียเวลาในการแก้งาน

  1. แปรงทาสีทรงแบน (Flat Brush)

ลักษณะ: ขนแปรงเรียงเป็นแนวตรง แบนราบ มีความกว้างให้เลือกหลายขนาด ด้ามจับตรง

จุดเด่น: ปาดสีได้กว้าง เกลี่ยสีได้เรียบ ไม่ทิ้งรอยแปรงง่าย อุ้มสีได้พอดี

เหมาะกับ:

  • งานทาพื้นที่กว้าง เช่น ผนัง แผ่นไม้ แผ่นโลหะ
  • งานเก็บพื้นรอบใหญ่ ๆ ที่ไม่ต้องเก็บรายละเอียดมาก
  1. แปรงทาสีหัวเฉียง (Angle Brush)

ลักษณะ: ขนแปรงถูกตัดให้เฉียง ทำให้ด้านหนึ่งสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง

จุดเด่น: ช่วยให้ทาสีตรงขอบ มุม หรือร่องเล็ก ๆ ได้สะดวกและแม่นยำ

เหมาะกับ:

  • งานทารอยต่อของผนังกับฝ้า
  • ทารอบวงกบ หน้าต่าง ขอบบัว
  • งานที่ต้องการความเรียบร้อยบริเวณขอบ
  1. แปรงทาสีทรงกลม (Round Brush)

ลักษณะ: ขนแปรงเรียงกันเป็นรูปทรงกลม ปลายแหลมหรือมน

จุดเด่น: ควบคุมทิศทางของเส้นสีได้ดี ใช้สำหรับเก็บรายละเอียด ปาดสีในจุดเล็ก ๆ

เหมาะกับ:

  • งานศิลปะที่ต้องการความละเอียด
  • งานตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ลวดลายบนไม้
  • ทาในช่องแคบ มุมโค้ง
  1. แปรงหัวพู่กันปลายแหลม (Pointed Brush)

ลักษณะ: ปลายขนเรียวเล็ก แหลมตรงกลาง เหมือนพู่กัน

จุดเด่น: ใช้เก็บลายเส้นหรือเขียนเส้นได้แม่นยำ ไม่เปื้อนขอบข้าง

เหมาะกับ:

  • งานวาดลาย งานเพ้นท์
  • งานเก็บสีในซอกเล็กหรือพื้นที่แคบมาก ๆ
  • งานตกแต่งลวดลายบนผิวงาน
  1. แปรงหัวพุ่ม (Filbert Brush)

ลักษณะ: หัวแปรงแบนแต่ปลายมนโค้งเหมือนรูปไข่

จุดเด่น: ผสมข้อดีของแปรงแบนและแปรงกลม ทาได้ทั้งพื้นที่กว้างและเก็บขอบได้ดี

เหมาะกับ:

  • งานศิลปะ ภาพวาดที่ต้องการไล่สีให้เนียน
  • งานที่มีขอบโค้งหรือลายเส้นที่ไม่เป็นมุม
  1. แปรงหัวพัด (Fan Brush)

ลักษณะ: ขนแปรงแผ่ออกเป็นรูปพัด ด้านข้างบาง

จุดเด่น: ปาดสีบาง ๆ ได้ดี ช่วยเกลี่ยสีให้เนียนและเบา เหมาะสำหรับทำพื้นผิวหรือแสงเงา

เหมาะกับ:

  • งานวาดภาพแนวธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ทุ่งหญ้า
  • งานเก็บเงา เก็บแสงในงานศิลปะ
  1. แปรงลูกกลิ้ง (Roller Brush)

ลักษณะ: หัวแปรงเป็นลูกกลิ้งทรงกระบอก หมุนได้รอบตัว มีด้ามจับยาว

จุดเด่น: ทาสีได้เร็วในพื้นที่กว้าง สีเรียบ ไม่เป็นรอยแปรง

เหมาะกับ:

  • งานทาผนัง เพดาน หรือพื้นผิวใหญ่
  • งานที่ต้องการความรวดเร็วและสม่ำเสมอ
  1. แปรงแบนด้ามสั้น (Stencil Brush)

ลักษณะ: หัวแปรงกลม ปลายขนตัดตรง ด้ามจับสั้นและใหญ่

จุดเด่น: ใช้แตะหรือกดสีเป็นจุด ไม่ปาด ไม่เลอะง่าย

เหมาะกับ:

  • งานลายฉลุ งานตกแต่ง
  • งานที่ต้องการลายแบบซ้ำ ๆ อย่างมีแบบพิมพ์
  1. แปรงหัวตัดปลายมน (Bright Brush)

ลักษณะ: ขนแปรงคล้ายแปรงแบน แต่สั้นและปลายตัดโค้งเล็กน้อย

จุดเด่น: ใช้เกลี่ยสีเข้ม ๆ และควบคุมทิศทางได้ดี

เหมาะกับ:

  • งานสีที่มีความข้น
  • งานที่ต้องการความแน่นของสีและไม่เลอะบริเวณรอบข้าง
  1. แปรงทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม (Detail Angle Brush)

ลักษณะ: ปลายแปรงตัดเฉียงเป็นสามเหลี่ยม ปลายแหลมเล็ก

จุดเด่น: ใช้เก็บงานมุมแคบ มุมเล็ก จุดที่แปรงใหญ่เข้าไม่ถึง

เหมาะกับ:

  • งานเก็บรายละเอียดรอบลูกบิด ประตู ร่อง
  • งานซ่อมสีเฉพาะจุด

การเลือกแปรงทาสีให้เหมาะกับงานเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ เพราะแปรงแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะด้าน หากเลือกได้ถูกต้อง จะช่วยให้งานเสร็จเร็ว สีติดดี และเรียบร้อย การใช้งานแปรงผิดประเภทอาจทำให้เปลืองสี ทาไม่เรียบ หรือเสียเวลาซ้ำซ้อน

การเลือกแปรงให้เหมาะกับลักษณะพื้นผิว

  1. พื้นผิวเรียบ

พื้นผิวที่ไม่มีร่อง ไม่มีลาย เช่น ผนังปูนฉาบเรียบ แผ่นไม้เรียบ แผ่นยิปซัม
เหมาะกับ: แปรงแบน หรือแปรงลูกกลิ้ง เพราะช่วยทาสีได้เรียบ สีติดสม่ำเสมอ ไม่เป็นเส้น

  1. พื้นผิวขรุขระ

พื้นผิวที่มีความหยาบ เช่น ผนังฉาบทราย ผนังปูนลอฟท์ ไม้เก่า หรือโลหะที่เป็นสนิม
เหมาะกับ: แปรงขนแข็งหรือแปรงหัวตัดเฉียง ช่วยให้สีแทรกเข้าตามร่องได้ดี ไม่เปลืองสี

  1. พื้นผิวที่มีร่องหรือลายเสี้ยนไม้

พื้นไม้ที่โชว์ลาย เช่น ไม้จริง ผิวไม้ฉลุลาย ประตูไม้มีบัวหรือร่องลึก
เหมาะกับ: แปรงหัวเฉียงหรือแปรงกลม เพราะเข้าร่องได้ง่าย เก็บสีตามลายได้ครบ

  1. พื้นผิวมีขอบหรือมุมแคบ

เช่น บริเวณขอบหน้าต่าง มุมห้อง มุมระหว่างฝ้าเพดานกับผนัง
เหมาะกับ: แปรงหัวเฉียง หรือแปรงทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม ใช้เก็บงานให้เรียบร้อย

  1. พื้นผิวโค้งหรือวงกลม

เช่น ท่อโลหะ เสา หรือของตกแต่งรูปทรงโค้ง
เหมาะกับ: แปรงหัวกลมหรือแปรงฟิลเบิร์ต เพราะปรับแนวขนแปรงให้โค้งตามชิ้นงานได้ง่าย

การเลือกแปรงให้ตรงกับลักษณะพื้นผิวจะช่วยให้สีติดดี ไม่เปลืองแรง และไม่ต้องเสียเวลาทาซ้ำหลายรอบ งานจะออกมาสวย เนียน และเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น

ผลเสียของการใช้งานแปรงผิดประเภท

  • สีไม่เรียบ เสมอไม่ทั่วพื้นผิว : เมื่อใช้แปรงที่ไม่เหมาะกับชนิดสีหรือพื้นผิว สีจะไม่ปาดเรียบ อาจเกิดรอยเส้น รอยคลื่น หรือสีบางเป็นจุด ๆ

 

  • เปลืองสีโดยไม่จำเป็น : แปรงที่ไม่เหมาะสมอาจดูดสีได้น้อยหรือมากเกินไป ทำให้ต้องจุ่มสีบ่อย หรือใช้สีมากกว่าที่ควร
  • ทำให้พื้นผิวเสียหาย : หากใช้แปรงขนแข็งเกินไปกับพื้นผิวบอบบาง อาจทำให้เกิดรอยขูด รอยถลอก หรือทำให้พื้นผิวไม่เรียบ
  • แปรงเสียรูปเร็ว : แปรงที่ใช้ผิดลักษณะงาน เช่น ใช้กับสีที่มีสารเคมีแรง โดยไม่เหมาะกับขนแปรงนั้น จะทำให้ขนแปรงเปื่อย บิดงอ หรือหลุดง่าย
  • ทำงานได้ช้า และต้องซ่อมงานบ่อย : เมื่อแปรงไม่สามารถทาสีให้เรียบได้ในการปาดครั้งเดียว จะต้องทาซ้ำ หรือเก็บรายละเอียดภายหลัง เสียเวลาและแรงงานมากขึ้น
  • ขอบหรือมุมเลอะเทอะ ไม่เรียบร้อย : ใช้แปรงใหญ่หรือปลายแปรงไม่เข้ากับมุมแคบ จะทำให้สีเกินขอบ ทาสียาก และดูไม่เรียบร้อย
  • ไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ดี : แปรงหัวใหญ่หรือขนแข็งเกินไปไม่เหมาะกับงานเก็บลาย งานศิลปะ หรือพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้พลาดจุดสำคัญ
  • ขนแปรงร่วงติดชิ้นงาน : แปรงที่ไม่เหมาะกับประเภทสี หรือมีคุณภาพต่ำ มักมีปัญหาขนร่วง เมื่อติดกับพื้นผิว จะต้องเสียเวลาคัดออก

การใช้งานแปรงผิดประเภทอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สามารถทำให้งานทาสีเสียทั้งคุณภาพ สี และเวลาได้อย่างมาก การเลือกแปรงให้เหมาะจึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจตั้งแต่เริ่มต้นงานเสมอ

ควรเลือกแปรงให้ตรงกับลักษณะพื้นผิว เช่น ผนังเรียบควรใช้แปรงแบน พื้นผิวมีขอบหรือร่องควรใช้แปรงหัวเฉียง หากเป็นงานตกแต่งหรืองานศิลปะควรใช้แปรงเฉพาะด้าน เช่น หัวกลม หัวพัด หรือหัวฟิลเบิร์ต เพื่อให้งานออกมาสวยอย่างที่ต้องการ งานทาสีจะสนุกและมีคุณภาพมากขึ้นเมื่อมีแปรงที่ใช่ในงานที่เหมาะสมเสมอ

Facebook
Twitter
Email
Picture of PKT Pocket

PKT Pocket

บริษัท พีเคที พ็อกเก็ต จำกัด

บทความที่น่าสนใจ

PKT LINE QR Code
(มี @ นำหน้าด้วยนะคะ)