เครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกว่า แอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำให้บ้านหรือห้องเย็นสบาย ภายในแอร์มีอุปกรณ์หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ คาปาซิเตอร์แอร์ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญมากในการช่วยให้คอมเพรสเซอร์และพัดลมมอเตอร์ทำงานได้อย่างราบรื่น หากคาปาซิเตอร์แอร์มีปัญหา แอร์อาจจะไม่เย็นหรือทำงานผิดปกติได้ จึงควรเรียนรู้วิธีสังเกตและดูแลให้ใช้งานได้นานขึ้น
คาปาซิเตอร์แอร์ คืออะไร
คาปาซิเตอร์แอร์ เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่สำคัญมากในเครื่องปรับอากาศ ทำหน้าที่เก็บไฟฟ้าเอาไว้ แล้วปล่อยไฟออกมาในเวลาที่ต้องการ ช่วยให้คอมเพรสเซอร์และพัดลมมอเตอร์ในแอร์เริ่มหมุนได้ง่ายขึ้น เปรียบเหมือนกับการช่วยเข็นจักรยานคันใหญ่ให้เคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น ไม่ต้องออกแรงมากเกินไป
ภายในแอร์จะมีคาปาซิเตอร์อย่างน้อย 1-2 ตัว ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดของแอร์ โดยทั่วไปจะแบ่งออกได้ 2 แบบหลักๆ คือ
- คาปาซิเตอร์คอมเพรสเซอร์ (Compressor Capacitor): ทำหน้าที่เก็บไฟฟ้าเพื่อช่วยสตาร์ทคอมเพรสเซอร์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแอร์ ทำงานดูดความร้อนออกจากห้อง ถ้าคาปาซิเตอร์คอมเพรสเซอร์เสีย คอมเพรสเซอร์จะหมุนไม่ติด ทำให้แอร์ไม่เย็น
- คาปาซิเตอร์พัดลม (Fan Capacitor): ทำหน้าที่ช่วยให้พัดลมหมุนได้แรงและสม่ำเสมอ พัดลมในแอร์จะพัดลมอากาศร้อนออกไปด้านนอก และพัดลมในตัวเครื่องจะเป่าลมเย็นเข้ามาในห้อง ถ้าคาปาซิเตอร์พัดลมเสีย พัดลมอาจหมุนช้าลงหรือหมุนไม่ติด ทำให้อากาศเย็นไม่กระจายทั่วห้อง
คาปาซิเตอร์แอร์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ ถ้ามอเตอร์ต้องทำงานหนักแต่คาปาซิเตอร์เสื่อมหรือค่าไมโครฟารัดลดลง จะทำให้เกิดความร้อนสูงขึ้น อาจทำให้มอเตอร์ไหม้ได้ในที่สุด ดังนั้นแม้จะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ถ้าดูแลไม่ดี อาจทำให้ทั้งแอร์เสียหายได้ทั้งระบบ ภายในคาปาซิเตอร์จะมีฉนวนที่เรียกว่า ไดอิเล็กทริก ช่วยกั้นระหว่างแผ่นโลหะสองขั้วเพื่อกักเก็บไฟฟ้าให้ปลอดภัย เมื่อใช้งานไปนานๆ ไดอิเล็กทริกอาจเสื่อมสภาพจากความร้อน ความชื้น หรือไฟกระชาก จึงทำให้คาปาซิเตอร์มีโอกาสเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด ถ้าเข้าใจการทำงานของคาปาซิเตอร์แอร์ จะช่วยให้รู้ว่าแอร์จะทำงานได้เต็มที่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคาปาซิเตอร์นี่เอง การดูแลและสังเกตให้ทัน จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟและยืดอายุเครื่องได้อีกหลายปี
ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยกับคาปาซิเตอร์แอร์
แม้คาปาซิเตอร์จะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่มีโอกาสเสียได้ค่อนข้างบ่อย โดยปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้
- ค่าไมโครฟารัดเสื่อม คาปาซิเตอร์จะมีค่าความจุไฟฟ้าเป็นไมโครฟารัด (µF) เมื่อใช้งานไปนานๆ ค่าความจุจะค่อยๆ เสื่อมลง ทำให้เก็บประจุไฟฟ้าได้ไม่เต็มที่ เมื่อค่าไมโครฟารัดต่ำกว่าที่กำหนด อาจทำให้คอมเพรสเซอร์หรือพัดลมสตาร์ทไม่ติด หรือหมุนช้ากว่าปกติ
- คาปาซิเตอร์รั่วหรือบวม หากมีไฟกระชากหรือความร้อนสูงมาก อาจทำให้คาปาซิเตอร์เกิดการรั่วหรือบวมได้ ถ้าสังเกตเห็นว่าตัวคาปาซิเตอร์มีรอยโป่งนูน หรือมีคราบน้ำมันออกมา แสดงว่าคาปาซิเตอร์อาจรั่วแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเก็บประจุได้
- คาปาซิเตอร์แตกหรือขาด ในบางครั้งอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือแรงดันไฟสูงเกินไป ทำให้คาปาซิเตอร์ระเบิดหรือแตกจนใช้งานไม่ได้เลย ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ อาจทำให้แอร์หยุดทำงานทันที
วิธีการสังเกตว่าคาปาซิเตอร์แอร์มีปัญหา
การสังเกตคาปาซิเตอร์ทำได้ง่ายหากรู้วิธีตรวจเช็คเบื้องต้น โดยสิ่งที่ควรสังเกตมีดังนี้
- แอร์ทำงานแต่ไม่เย็น หรือคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานทั้งที่พัดลมหมุน
- แอร์มีเสียงผิดปกติ เช่น เสียงมอเตอร์พยายามหมุนแต่หมุนไม่ได้
- พัดลมหมุนช้ากว่าปกติ หรือหยุดหมุนเป็นบางครั้ง
- สังเกตตัวคาปาซิเตอร์ว่ามีรอยบวม รั่ว หรือแตกหรือไม่
หากพบอาการเหล่านี้ควรปิดแอร์แล้วให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็คอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย เพราะคาปาซิเตอร์อาจยังมีไฟฟ้าค้างอยู่
วิธีการตรวจเช็คคาปาซิเตอร์แอร์อย่างง่าย
การตรวจคาปาซิเตอร์แอร์สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือวัดค่าความจุไฟฟ้า (Capacitor Tester) หรือมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอลที่มีฟังก์ชันวัดค่าไมโครฟารัด โดยขั้นตอนเบื้องต้นมีดังนี้
- ตัดไฟฟ้าออกก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัย ต้องถอดปลั๊กหรือตัดเบรกเกอร์ไฟฟ้าออกทุกครั้งก่อนทำการตรวจเช็ค
- ถอดคาปาซิเตอร์ออกจากวงจร ใช้ไขควงขันน็อตและสายไฟออกอย่างระมัดระวัง จดจำตำแหน่งสายไฟเพื่อประกอบกลับถูกต้อง
- คายประจุไฟในคาปาซิเตอร์ ใช้ไขควงด้ามหุ้มฉนวนแตะขั้วคาปาซิเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อให้ประจุไฟหมดก่อนจับต้อง
- วัดค่าความจุ ตั้งค่ามัลติมิเตอร์ไปที่โหมดวัดไมโครฟารัด จากนั้นต่อสายวัดเข้ากับขั้วคาปาซิเตอร์ หากค่าที่วัดได้ต่ำกว่าค่าที่ระบุบนตัวคาปาซิเตอร์มาก แสดงว่าควรเปลี่ยนใหม่
วิธีการแก้ไขปัญหาคาปาซิเตอร์แอร์
เมื่อคาปาซิเตอร์แอร์มีอาการเสื่อม รั่ว บวม หรือเสีย ควรรีบแก้ไขเพื่อไม่ให้ส่วนอื่นในแอร์พังตามไปด้วย การแก้ไขสามารถทำตามขั้นตอนและคำแนะนำดังนี้
- เลือกคาปาซิเตอร์ใหม่ให้ถูกต้อง ก่อนเปลี่ยนคาปาซิเตอร์ ควรอ่านค่าที่พิมพ์บนตัวคาปาซิเตอร์เดิมให้ชัดเจน จะมีตัวเลขบอกค่าไมโครฟารัด (µF) และแรงดันไฟฟ้า (Voltage) ค่าไมโครฟารัดต้องเท่ากับของเดิมเพื่อให้แอร์ทำงานได้พอดี ไม่ควรใช้คาปาซิเตอร์ที่มีค่าต่ำกว่า เพราะอาจทำให้มอเตอร์สตาร์ทไม่ติดหรือทำงานหนักเกินไป หากหาแบบค่าเท่ากันไม่ได้ ให้เลือกค่าที่สูงกว่าเล็กน้อยได้ แต่ไม่ควรเกินมาตรฐานที่ช่างไฟแนะนำ
- ตรวจสอบขนาดและรูปทรงให้พอดี คาปาซิเตอร์มีหลายขนาดและรูปทรง ทั้งแบบทรงกลมและทรงเหลี่ยม ควรเลือกให้ใส่พอดีกับที่ยึดเดิม เพื่อให้ติดตั้งได้แน่นหนาและไม่หลุดง่าย
- ตรวจสอบตำแหน่งสายไฟก่อนถอดออก ก่อนถอดสายไฟออกจากคาปาซิเตอร์ ควรถ่ายรูปหรือติดสติกเกอร์กำกับไว้ เพื่อให้รู้ว่าสายไฟแต่ละเส้นต่อเข้ากับขั้วไหน จะได้ไม่ต่อผิดขั้ว เพราะการต่อสายผิดจะทำให้แอร์ทำงานไม่ได้หรืออาจเกิดความเสียหายมากกว่าเดิม
- เลือกคาปาซิเตอร์คุณภาพดี มีมาตรฐาน ไม่ควรซื้อคาปาซิเตอร์ราคาถูกที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐาน เพราะวัสดุภายในอาจไม่ทนทาน เก็บประจุได้ไม่เต็มที่ และเสื่อมสภาพเร็ว ควรซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ และยี่ห้อที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
- ตรวจสอบอุปกรณ์รอบข้างว่ามีความเสียหายหรือไม่ บางครั้งคาปาซิเตอร์เสียอาจทำให้สายไฟขาดหรือขั้วต่อหลวม ควรตรวจดูสายไฟและขั้วต่อให้เรียบร้อย ถ้าพบจุดไหม้หรือสายไฟแตก ควรเปลี่ยนสายใหม่ด้วย
- เปลี่ยนคาปาซิเตอร์อย่างระมัดระวัง เมื่อจะเปลี่ยนคาปาซิเตอร์ ต้องคายประจุไฟฟ้าก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย ใช้ไขควงด้ามหุ้มฉนวนแตะขั้วให้ประจุไฟหมด จากนั้นขันน็อตหรือปลดขั้วสายไฟออก เปลี่ยนคาปาซิเตอร์ใหม่ให้แน่นหนา ตรวจสอบว่าไม่มีขั้วไหนหลวม แล้วต่อสายไฟกลับให้ตรงตามเดิม
- ให้ช่างไฟฟ้ามืออาชีพดำเนินการหากไม่มั่นใจ หากไม่มีความรู้หรือไม่กล้าทำเอง ควรเรียกช่างไฟฟ้าหรือช่างแอร์มืออาชีพมาดำเนินการให้ เพราะช่างจะมีเครื่องมือวัดที่แม่นยำ รู้วิธีตรวจเช็คอย่างละเอียด และทำงานได้อย่างปลอดภัย
วิธีการดูแลและบำรุงรักษาคาปาซิเตอร์แอร์
นอกจากการแก้ไขเมื่อมีปัญหาแล้ว การดูแลและบำรุงรักษาก็ช่วยยืดอายุการใช้งานของคาปาซิเตอร์แอร์ได้มากขึ้น ดังนี้
- ล้างแอร์เป็นประจำ ฝุ่นละอองที่สะสมในคอยล์เย็นและคอยล์ร้อนจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้คาปาซิเตอร์เสื่อมเร็วขึ้น
- ตรวจเช็คระบบไฟฟ้า ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงไฟตกหรือไฟกระชาก เพราะอาจทำให้คาปาซิเตอร์เสียหาย
- หลีกเลี่ยงการเปิด-ปิดแอร์บ่อยเกินไป การเปิด-ปิดแอร์บ่อยๆ ทำให้คาปาซิเตอร์ต้องทำงานเริ่มต้นบ่อยขึ้น อาจทำให้เสื่อมเร็วกว่าปกติ
- ตรวจสอบเสียงและอาการผิดปกติ หากแอร์มีเสียงผิดปกติหรือเย็นน้อยลง ควรตรวจเช็คทันที เพื่อแก้ไขก่อนที่คาปาซิเตอร์หรือส่วนอื่นจะเสียหายมากขึ้น
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากเพื่อช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากไฟฟ้าแรงดันสูง
การดูแลคาปาซิเตอร์แอร์ไม่ใช่เรื่องยาก หากรู้วิธีสังเกตอาการผิดปกติและตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีอยู่เสมอ แอร์เย็นสบาย ประหยัดไฟ และใช้งานได้นานหลายปี ไม่ต้องเสียเงินซ่อมหรือเปลี่ยนบ่อยครั้ง ช่วยให้บ้านเย็นได้อย่างสบายใจทุกวัน